ความจริงไม่เคยชัดเจนตราบใดที่เราคิดว่าพวกเราแต่ละคนคือศุนย์กลางของจักรวาล
โธมัส เมอร์ตัน
เบญจามิน แฟรงคลิน เปลี่ยนแปลง
หลังจากได้ออกแบบการทดลองอันมีชื่อเสียง เกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง
เขาสาบานว่าจะมองหาสิ่งดีๆในตัวผู้อื่น
แทนที่จะมองหาข้อบกพร่องในตัวพวกเขา และจะพูดแต่สิ่งดีดีเกี่ยวกับผู้คนเท่านั้น
เบญจามินบอกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่ออิทธิพลต่อชีวิตเขามาก
เขาสร้างมุมมองในแง่ดีมากขึ้นในตัวผู้อื่น
และในขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างความสัมพีนธ์ของตัวเองให้ดีขึ้นด้วย
เขายกคุณความดีของความสำเร็จ
ในฐานะที่เป็นผู้มีชั้นเชิงในการพูดของเขาให้กับนิสัยเหล่านี้
ทำไมคนส่วนใหญ่จึงตัดสินผู้อื่นละ
คำตอบนั้นง่ายๆแต่ไม่น่าที่จะยอมรับได้
ก็เพราะเราทุกคนล้วนเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้นไงละ
เราแสวงหาเพื่อตัวเราเอง
และบ่อยครั้งที่เอาความจริงไปสับสนกับความรู้ที่จำกัดของเรา
เราวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเกือบตลอดเวลา
ซึ่งเพียงเพราะพวกเขาทำทุกอย่างแตกต่างไปจากที่เราทำเท่านั้น
สิ่งที่เรากำลังพูดจริงๆก็คือ "คุณไม่โอเค เพราะคุณไม่เหมือนฉัน"
และเราจะพูดจาดูถูกกันเอง
เช่นเมื่อเราพูดถึงกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มนักกีฬา "คุณชอบกลุ่มนั้นได้อย่างไง"
เป็นสิ่งที่ทั้งคู่คิดขณะเถียงกัน
พูดอีกอย่างก็คือ "มีแต่สิ่งที่ัฉันชอบเท่านั้นที่ดี"
การเอาชนะความเห็นแก่ตัว
และการเอาชนะวิธีการมองชีวิตแบบแคบแคบของเรา
คือสัญญลักษณ์ของความเจริญเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง
เวลาที่เราทำเช่นนั้น เราจะเริ่มชื่นชมผู้อื่นได้เต็มที่มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนา มุมมองทางการเมือง
อายุ เชื้อชาติ วัฒนธรรม กิจกรรมยามว่าง หรือรูปแบบการดำเนินชีวิต
เราจำเป็นต้องตระหนักไว้ว่าพวกเราทุกคนมีสองสิ่ง ที่เหมือนกัน
นั้นคือเราเป็นผลลัพธ์ของลักษณะทางพันธุกรรมของตัวเรากับประสพการณ์ของเรา
ไม่มีใครมีชีวิตที่"ถูกต้องสมบูรณ์แบบ"
เมื่อเรายิ่งเรียนรู้ที่จะชื่นชมกับความแตกต่าง
และความเป็นเอกลักษณ์ในตัวผู้อื่นได้มากเท่าไหร่
เราก็ยิ่งเข้าใกล้การสร้างความเคารพนับถือชีวิตของตัวเราได้มากขึ้นเท่านั้น
จากหนังสือ มีชีวิตที่ดีกว่า
แปลโดย วรรธนา วงษ์ฉัตร