ใจที่ตั้งไว้ดีแล้ว นำความสวัสดีมาให้


พระผู้ัมีพระภาคเจ้า ทรงแสดงการบำบัดรักษาโรคทางใจเอาไว้
ธรรมมะทั้งหมดที่ทรงแสดงไว้ เช่น
เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นการแสดงเพื่อบำบัดขจัดโรคทางใจ
เพราะโรคทางกายนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา
กายเราเมื่อตายไปแล้วก็เผากันไปหมดสิ้นไป 
แต่ว่าใจนั้นไม่ได้เสร็จสิ้นไปตามร่างกาย
ใจได้เก็บเอาบาปเอาบุญเอากิเลสไว้ภายใน 
แล้วจะไปถือคติไปอุบัติในคติในภพต่างๆสืบต่อกันไป
ปัญหาที่ควรแก้ไขจึงอยู่ที่ใจ 
เพราะถ้าใจใครตั้งไว้ดีแล้ว
อะไรอะไรก็ดีไปหมด ไม่มีอาการเสียดแทงต่างๆ 
เราก็อาจสร้างความสวัสดีกับตนได้
เช่น คนทุพพลภาพบางคน ไม่มีมือด้วยซ้ำ
แต่เขาสามารถใช้เท้าไปในกิจการต่างๆได้ 
บางคนไม่มีเท้าแต่เขาสามารถตั้งตัวให้ได้รับความสุขในชีวิตได้
นี่เป็นการแสดงถึงความสำคัญของจิตใจ 
โรคที่ควรแก้ไขบำบัดรักษาคือโรคของจิตใจ
อย่างน้อยที่สุดอย่าปล่อยให้โรคทางใจออกมาทางกายเรา 
ถ้าออกมาเต็มตัวก็ต้องมีการต่อสู้ ต้องมีการแก่งแย่งชิงดีกัน
เพื่อตอบสนองความต้องการของตน 
อันเป็นอาการทะเยอมะยานอยากที่รุนแรง
มักแสดงออกมาในรูปของการแสวงหาเพื่อตอบสนองความต้องการ
บางครั้ง ก็มีการประหัตประหารกัน จนถึงการล้างผลาญ 
บางครั้งถ้าแรงมาก แม้แต่ความเคารพนับถือในครอบครัว 
ที่เคยมีอยู่ระหว่าง พ่อ แม่ ลูก ก็เลือนหายไป
ลูกอาจแย่งทรัพย์สมบัติจากพ่อแม่เป็นต้น นี้เป็นเพราะโรคจิตกำเริบอย่างรุนแรง

แล้วเรารักษาโรคทางจิตได้อย่างไร
พระพุทธองค์ทรงแสดงด้วย ศีล 
เพื่อป้องกันไม่ให้ออกรุนแรงและป้องกันโรคแสวงหา
แม้ยังคงแสวงหาอยู่แต่ก็ได้แสวงหาในกรอบของความถูกต้องทางศึลธรรม
ทรงแสดงขั้นของสมาธิ เอาไว้เพื่ออะไร
เพื่อควบคุมจิตใจไม่ให้มีอาการเร่าร้อนรุนแรงจนเกินไป
นั้นคือหากว่าบุคคลปรับใจของตนให้เกิดความยินดีในฐานะของตน
ความสุขใจก็จะเกิดขึ้น อาการดิ้นรนของใจก็ไม่ปรากฏออกมา
การปฏิบัติกรรมฐาน ในทางพุทธศาสนานั้น
เพื่อบรรเทายับยั้งในกามฉันท์
ความพอใจรักใคร่ในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น 
พอจิตเป็นสมาธิก็จะหยุดคิดหยุดดิ้น
ความอยากต่างๆที่เคยมีอยู่นั้น 
ก็จะบรรเทาเบาบางลงไป ตราบใดที่ใจอยู่ในสมาธิ
ตราบนั้นตัญหาที่จะแสดงอาการเป็นพิษออกมาไม่ได้
ส่วนปัญญานั้น แน่นอน ต้องการให้ขจัดไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็เป็นเป้าหมาย
ที่สูงไกลจะต้องใช้ความเพียรพยายาม

พระเทพดิลก พระเดชพระคุณหลวงพ่อระแบบ ฐิตฌาโน 
 "ยอดแ่ห่งลาภ"