เพียงคิดแต่จะครอบครอง



หากคิดจะครอบครองสิ่งใด และยึดติดสิ่งนั้นว่าเป็นของเรา.
ตัวเรา ความคิดทุกอย่างจะวิ่งเข้าหาตัวเรา
ไม่ว่าผิดหรือถูก คิดเข้าหาตนเองเป็นหลัก.
 เป็นภัยคุกคามของความคิด ไม่มองสิ่งรอบข้าง
 ลืมคิดถึงชีวิตที่กำลังสั้นลงทุกที
 ลืมความรัก ความดีที่มีให้กัน
 ลืมไปเลยว่าวันหนึ่ง เราต้องตายจากกัน. 
วันคืน ที่มีอยู่กลับกลายเป็นวันไร้ค่า. ไม่มีความสุข เพียงคิดแต่จะครอบครอง

ไม่มีทุกข์ใดยิ่งใหญ่ กว่าการคิดครอบครอง
ทุกข์ที่ต้องรักษา 
ทุกข์ทีกังวลว่าจะหลุดลอย
ทุกข์จากโมหะครอบงำ
แล้วทำไมจึงคิดที่ครอบครองตลอดไป

วันนี้เขียนเอง .......................


รางวัลของความเคารพนับถือ


การเคารพนับถือผู้อื่นด้วยความเป็นธรรมชาติ 
เคารพในความคิด เคารพในความเป็นตัวตนของผู้อื่น ให้เกียตริผู้อื่น
 เป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเองได้
 และยังเป็นการพัฒนาจิตของตนเองไปอีกขั้นหนึ่ง
 การแสดงออกถึงความเคารพนับถือผู้อื่นโดยธรรมชาติ 
ย่อมได้รับความเคารพนับถือโดยธรรมชาติจากผู้อื่นและสิ่งรอบข้าง
 การเคารพนับถือผู้อื่นเป็นกระจกสะท้อนเงาคุณค่าของเราได้

"เราเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราหว่านไว้"
 เหนือสิ่งอื่นใดๆ ความเคารพนับถือจะเก็บเกี่ยวผลมากมายในชีวิต 
สิ่งที่เราส่งออกไปจะหวนกลับคืนมา 
กฎทองที่ว่า จงปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบที่เราต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
 ยังเป็นกฎทองที่ดีเหมือนเดิม
 คนดีจะสร้างชึวิตของพวกเขาบนรากฐานของความเคารพนับถือ

ผลลัพท์จากการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพนับถือ 
มันช่วยให้เราได้พัฒนาทักษะและนิสัยในการเข้าสังคมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
มันทำให้เราทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีขึ้น
มันทำให้เราได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่นคืนกลับคืนมา
มันทำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
มันทำให้เราได้พัฒนาความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้น
มันทำให้เราสร้างชื่อเสียงที่มั่นคง


ชื่นชมในความแตกต่าง


ความจริงไม่เคยชัดเจนตราบใดที่เราคิดว่าพวกเราแต่ละคนคือศุนย์กลางของจักรวาล
โธมัส เมอร์ตัน
เบญจามิน แฟรงคลิน เปลี่ยนแปลง
หลังจากได้ออกแบบการทดลองอันมีชื่อเสียง เกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง 
เขาสาบานว่าจะมองหาสิ่งดีๆในตัวผู้อื่น
 แทนที่จะมองหาข้อบกพร่องในตัวพวกเขา และจะพูดแต่สิ่งดีดีเกี่ยวกับผู้คนเท่านั้น
 เบญจามินบอกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่ออิทธิพลต่อชีวิตเขามาก 
เขาสร้างมุมมองในแง่ดีมากขึ้นในตัวผู้อื่น
และในขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างความสัมพีนธ์ของตัวเองให้ดีขึ้นด้วย 
เขายกคุณความดีของความสำเร็จ
ในฐานะที่เป็นผู้มีชั้นเชิงในการพูดของเขาให้กับนิสัยเหล่านี้

ทำไมคนส่วนใหญ่จึงตัดสินผู้อื่นละ 
คำตอบนั้นง่ายๆแต่ไม่น่าที่จะยอมรับได้
 ก็เพราะเราทุกคนล้วนเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้นไงละ
 เราแสวงหาเพื่อตัวเราเอง 
และบ่อยครั้งที่เอาความจริงไปสับสนกับความรู้ที่จำกัดของเรา  
 เราวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเกือบตลอดเวลา
 ซึ่งเพียงเพราะพวกเขาทำทุกอย่างแตกต่างไปจากที่เราทำเท่านั้น
 สิ่งที่เรากำลังพูดจริงๆก็คือ "คุณไม่โอเค เพราะคุณไม่เหมือนฉัน"
 และเราจะพูดจาดูถูกกันเอง
 เช่นเมื่อเราพูดถึงกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มนักกีฬา "คุณชอบกลุ่มนั้นได้อย่างไง" 
เป็นสิ่งที่ทั้งคู่คิดขณะเถียงกัน
 พูดอีกอย่างก็คือ "มีแต่สิ่งที่ัฉันชอบเท่านั้นที่ดี"

การเอาชนะความเห็นแก่ตัว
 และการเอาชนะวิธีการมองชีวิตแบบแคบแคบของเรา 
คือสัญญลักษณ์ของความเจริญเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง
 เวลาที่เราทำเช่นนั้น เราจะเริ่มชื่นชมผู้อื่นได้เต็มที่มากขึ้น
 ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนา มุมมองทางการเมือง
 อายุ เชื้อชาติ วัฒนธรรม กิจกรรมยามว่าง หรือรูปแบบการดำเนินชีวิต
 เราจำเป็นต้องตระหนักไว้ว่าพวกเราทุกคนมีสองสิ่ง ที่เหมือนกัน
 นั้นคือเราเป็นผลลัพธ์ของลักษณะทางพันธุกรรมของตัวเรากับประสพการณ์ของเรา 
ไม่มีใครมีชีวิตที่"ถูกต้องสมบูรณ์แบบ"
เมื่อเรายิ่งเรียนรู้ที่จะชื่นชมกับความแตกต่าง
และความเป็นเอกลักษณ์ในตัวผู้อื่นได้มากเท่าไหร่
 เราก็ยิ่งเข้าใกล้การสร้างความเคารพนับถือชีวิตของตัวเราได้มากขึ้นเท่านั้น

จากหนังสือ มีชีวิตที่ดีกว่า
แปลโดย วรรธนา วงษ์ฉัตร




ใจที่ตั้งไว้ดีแล้ว นำความสวัสดีมาให้


พระผู้ัมีพระภาคเจ้า ทรงแสดงการบำบัดรักษาโรคทางใจเอาไว้
ธรรมมะทั้งหมดที่ทรงแสดงไว้ เช่น
เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นการแสดงเพื่อบำบัดขจัดโรคทางใจ
เพราะโรคทางกายนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา
กายเราเมื่อตายไปแล้วก็เผากันไปหมดสิ้นไป 
แต่ว่าใจนั้นไม่ได้เสร็จสิ้นไปตามร่างกาย
ใจได้เก็บเอาบาปเอาบุญเอากิเลสไว้ภายใน 
แล้วจะไปถือคติไปอุบัติในคติในภพต่างๆสืบต่อกันไป
ปัญหาที่ควรแก้ไขจึงอยู่ที่ใจ 
เพราะถ้าใจใครตั้งไว้ดีแล้ว
อะไรอะไรก็ดีไปหมด ไม่มีอาการเสียดแทงต่างๆ 
เราก็อาจสร้างความสวัสดีกับตนได้
เช่น คนทุพพลภาพบางคน ไม่มีมือด้วยซ้ำ
แต่เขาสามารถใช้เท้าไปในกิจการต่างๆได้ 
บางคนไม่มีเท้าแต่เขาสามารถตั้งตัวให้ได้รับความสุขในชีวิตได้
นี่เป็นการแสดงถึงความสำคัญของจิตใจ 
โรคที่ควรแก้ไขบำบัดรักษาคือโรคของจิตใจ
อย่างน้อยที่สุดอย่าปล่อยให้โรคทางใจออกมาทางกายเรา 
ถ้าออกมาเต็มตัวก็ต้องมีการต่อสู้ ต้องมีการแก่งแย่งชิงดีกัน
เพื่อตอบสนองความต้องการของตน 
อันเป็นอาการทะเยอมะยานอยากที่รุนแรง
มักแสดงออกมาในรูปของการแสวงหาเพื่อตอบสนองความต้องการ
บางครั้ง ก็มีการประหัตประหารกัน จนถึงการล้างผลาญ 
บางครั้งถ้าแรงมาก แม้แต่ความเคารพนับถือในครอบครัว 
ที่เคยมีอยู่ระหว่าง พ่อ แม่ ลูก ก็เลือนหายไป
ลูกอาจแย่งทรัพย์สมบัติจากพ่อแม่เป็นต้น นี้เป็นเพราะโรคจิตกำเริบอย่างรุนแรง

แล้วเรารักษาโรคทางจิตได้อย่างไร
พระพุทธองค์ทรงแสดงด้วย ศีล 
เพื่อป้องกันไม่ให้ออกรุนแรงและป้องกันโรคแสวงหา
แม้ยังคงแสวงหาอยู่แต่ก็ได้แสวงหาในกรอบของความถูกต้องทางศึลธรรม
ทรงแสดงขั้นของสมาธิ เอาไว้เพื่ออะไร
เพื่อควบคุมจิตใจไม่ให้มีอาการเร่าร้อนรุนแรงจนเกินไป
นั้นคือหากว่าบุคคลปรับใจของตนให้เกิดความยินดีในฐานะของตน
ความสุขใจก็จะเกิดขึ้น อาการดิ้นรนของใจก็ไม่ปรากฏออกมา
การปฏิบัติกรรมฐาน ในทางพุทธศาสนานั้น
เพื่อบรรเทายับยั้งในกามฉันท์
ความพอใจรักใคร่ในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น 
พอจิตเป็นสมาธิก็จะหยุดคิดหยุดดิ้น
ความอยากต่างๆที่เคยมีอยู่นั้น 
ก็จะบรรเทาเบาบางลงไป ตราบใดที่ใจอยู่ในสมาธิ
ตราบนั้นตัญหาที่จะแสดงอาการเป็นพิษออกมาไม่ได้
ส่วนปัญญานั้น แน่นอน ต้องการให้ขจัดไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็เป็นเป้าหมาย
ที่สูงไกลจะต้องใช้ความเพียรพยายาม

พระเทพดิลก พระเดชพระคุณหลวงพ่อระแบบ ฐิตฌาโน 
 "ยอดแ่ห่งลาภ"